11 เรื่องลึกลับทางประวัติศาสตร์ ที่ถูกไขปริศนาได้แล้ว

5748

เรื่องเล่าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมาบางเรื่องก็เป็นเรื่องลึกลับที่ยังไม่ถูกไขปริศนา และไม่สามารถเข้าใจได้อีกมากมายหลายเรื่อง

สำหรับวันนี้เราได้นำ 12 เรื่องลึกลับทางประวัติศาสตร์ และถูกไขปริศนาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วมาให้ได้ชมกัน จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอะไรบ้าง พร้อมแล้วไปชมกันเลย

1. การหายไปของอารยธรรมนัซกา

จากผลงานลานเส้นนัซกาขนาดใหญ่บนพื้นผิวของทะเลทรายนัซกา ประเทศเปรู จนทำให้ชาวนัซกากลายเป็นที่รู้จักของชาวโลก โดยมีทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวกับลายเส้นนัซกา บ้างก็บอกว่าพวกเขาต้องการสื่อสารกับอารยธรรมที่สูงส่งจากนอกโลก สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่าพวกเขาสร้างเส้นนัซกาขึ้นและเดินทางตามเส้นเหล่านี้เพื่อสื่อสารกับพระเจ้า และการหายไปของอารยธรรมนัซกาเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าพวกเขาจึงทนความแห้งแล้งไม่ได้

2. ความลับของหัวโมอาย

รูปปั้นศีรษะขนาดใหญ่บนเกาะอีสเตอร์ที่ห่างไกลที่เรียกว่า “โมอาย” บางอันสูงถึง 20 ฟุต ทำให้เกิดความสงสัยกันว่าผู้คนโบราณจะสามารถตั้งศีรษะขนาดใหญ่นี้เป็นร้อยๆ ได้อย่างไร สุดท้ายนักมนุษยวิทยาชาวนอร์เวย์ก็พบจากการขุดว่ามันมีลำตัวอยู่ข้างล่าง และสามารถตั้งโดยใช้เครื่องมือของคนสมัยก่อน

3. สุสานปลาวาฬในชิลี

บริเวณกลางทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี พบว่ามีสุสานปลาวาฬขนาดมหึมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความสงสัยว่าอะไรทำให้ปลาวาฬตายเยอะขนาดนี้ สุดท้ายก็พบว่าปลาวาฬเหล่านี้ไม่ได้ตายพร้อมกัน แต่เป็นการตายจากการการแพร่กระจายของสาหร่ายพิษในช่วงช่วง 20,000 ปีที่ผ่านมา

4. ลายมือลึกลับในมหากาพย์โอดิสซีย์

นี่เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ที่ชื่อว่า โอดิสซีย์ ที่มีอายุ 800 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนสำเนาของโอดิสซีย์ที่มีอายุประมาณ 500 ปี จะเห็นว่ามีการจดโน๊ตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นรายมือใครและภาษาอะไร แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันได้วิเคราะห์ว่า เป็นการจดโน๊ตที่มีรูปแบบเฉพาะคิดค้นขึ้นโดย Jean Coulon de Thévénot นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสในสมัยนั้น โดยโน๊ตนี้มีความสำคัญมากกว่าความหมายที่เขาจดไว้เสียอีก

5. หลุมดำในฟลอริดา

ในแม่น้ำออซิลลาทางตอนใต้ของฟลอริดามา นักโบราณคดีได้พบหลุมที่มีความดำสนิทของน้ำในบริเวณนั้น จึงไม่มีใครกล้าดำลงไปดูว่าภายใต้นั้นมีอะไรบ้าง จนกระทั่ง เจสซี ฮัลลิแกน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา ก็ได้ค้นหาคำตอบและพบว่ามีงาและโครงกระดูกของมาสโตดอน ซึ่งเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์บรรพบุรุษของช้าง และพบอุปกรณ์ที่ทำให้รู้ว่ามนุษย์เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ฟลอริดามานานตั้งแต่ 14,500 ปีก่อน

6. กลไกคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของกรีก

กลไกคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของโลกที่ทุกคนรู้กันคือ กลไกแอนติคิเธียรา ซึ่งเป็นโลหะที่สึกกร่อนอยู่ในกล่องไม้ที่ผุพัง โดยถูกพบในเรืออับปางในสมัย 80-50 ปีก่อนคริสตกาล แต่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์นำทางของชาวกรีก ที่ชาวโรมันขนมาพร้อมทรัพย์สินอื่นๆ ก่อนที่เรือจะอับปางลงไปอยู่ก้นทะเล

7. กองทัพที่หายไปของพระเจ้าแคมไบซีสที่ 2

พระเจ้าแคมไบซีสที่ 2 แห่งเปอร์เชีย หากย้อนกลับไปเมื่อ 524 ปีก่อนคริสตกาล ในระหว่างการเคลื่อนทัพไปสู้กับชาวเอธิโอเปีย ทหารกว่า 50,000 คน ได้ทยอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนเมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ 2 คน แองเจโล และอัลเฟรโด คาสติกลิโอนี ก็ค้นพบว่าทหารล้มตายจากพายุทรายที่รุนแรงระหว่างเดินทางต่างหาก

8. ศีรษะลึกลับบอสแฮม

นานกว่า 2 ศตวรรษ ที่มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับศีรษะลึกลับนี้ แต่สุดท้ายเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการใช้เลเซอร์สแกนทำให้ระบุได้ว่า เป็นศีรษะของรูปปั้นจักรพรรดิทราจันแห่งจักรวรรดิโรมันที่มีน้ำหนักถึง350 ปอนด์

9. ปริศนาหินเดินได้ที่ เดธ วัลเลย์

ความลับระดับตำนานของการเคลื่อนที่ได้เองของหินหลายก้อนในหุบเขาเดธ วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยทิ้งร่องรอยให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความสงสัยจึงหาคำตอบ โดยทฤษฎีล่าสุดของ ราล์ฟ โลเรนซ์ พบว่าเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ก่อตัวล้อมรอบหินในช่วงฤดูหนาว เมื่อมันเริ่มละลายและเจอกับลมแรง จึงทำให้หินสามารถเคลื่อนที่ไปตามพื้นเรียบได้

10. การหายไปลองลูกเรือ แมรี เซเลสต์

ตำนานเรือผีสิงที่โด่งดังอย่างมากในปี 1872 คือเรือแมรี เซเลส เนื่องจากพบว่าเป็นเรือที่ว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ ในเวลาต่อมานักเคมีดอกเตอร์ แอนเดรีย เซลลา จึงได้ทำการทดลองเพื่ออธิบายถึงเรือลำนี้ว่า บรรทุกถังแอลกอฮอล์มามากถึง 1,700 บาร์เรล และพบว่ามีรอยฉีกขาดของถังแอกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้แอลกอฮอล์ระเหยออกมาจนมีสภาพเป็นสารพิษ จนหายใจไม่ออก เกิดภาพหลอน จนต้องกระโดดลงจากเรือและเสียชีวิตกลางทะเล

11. อากาศยานของชาวอียิปต์โบราณ

“อบิดอส” อักษรไฮเออโรกลีฟในวิหารของโอซิริส เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก เนื่องจากอักษรบางตัวมีลักษณะคล้ายอากาศยาน มีทั้งรูปเครื่องบินเจ็ท เฮลิคอปเตอร์ หรือแม้แต่รถถัง แต่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ก็สรุปได้ว่า เป็นการฟื้นฟูอักษรไฮเออโรกลีฟจากต้นฉบับ และสภาพที่เสื่อมตามกาลเวลา บวกกับเราพยายามเชื่อมโยงเข้ากับภาพที่เราคุ้นเคยมันจึงดูผิดเพี้ยนไป

ที่มา : Brightside , เรียบเรียง : Soooksan